กรณีพิพาทกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ของ เซ็นทรัล_วิลเลจ

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าแจ้งความต่อ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด ว่า "ฐานก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ รุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ของราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของกรมท่าอากาศยานไทย และเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ในความดูแล ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" พร้อมทั้งนำกำลังพลเจ้าหน้าที่ทั้งภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรบางพลีกว่า 20 นาย แท่งแบริเออร์ และเต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ เข้าปิดพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ ทุกทางเข้าพื้นที่ พร้อมทั้งขึงเส้นแดงไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าออกพื้นที่เป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร และตั้งป้ายประกาศขนาดใหญ่โดยฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ทอท. ว่า "พื้นที่ในความครอบครองของ ทอท. ห้ามผู้ใดบุกรุก มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด" ตั้งแต่เย็นของวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ส่งผลให้ บริษัท สยามมัลติคอน จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างศูนย์การค้าฯ ไม่สามารถนำรถบรรทุกเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ตามสัญญา และผู้รับเหมาต้องนำอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้างใส่รถเข็นเข็นเข้าพื้นที่แทน

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้า ได้ตั้งป้ายข้อความคัดค้านทันทีว่า "โครงการนี้ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดิน มิได้มีการรุกล้ำพื้นที่ใคร" พร้อมขึ้นป้ายประกาศความหมายของคำว่า "ทางหลวงแผ่นดิน" และ "ไหล่ทาง" ตามความหมายที่บัญญัติโดยราชบัณฑิตยสถาน ก่อนเชิญสื่อมวลชนร่วมชมพื้นที่พร้อมชี้แจงปัญหาออกเป็น 3 ประเด็นดังนี้

  1. ที่ดินของศูนย์การค้า เป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งเซ็นทรัลพัฒนาได้รับใบอนุญาตในการเชื่อมต่อพื้นที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากกรมทางหลวง อันเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดสินใจเชื่อมต่อไหล่ทางแต่เพียงผู้เดียว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ที่ดินของศูนย์การค้าไม่ได้เป็น "ที่ดินตาบอด" ตามที่ ทอท. กล่าวอ้าง
  2. โครงการนี้ได้ปฏิบัติตามกฎหมายผังเมืองและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องในการก่อสร้างในพื้นที่สีเขียว บริเวณ ก1-10 ไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดินพื้นที่สีเขียวบริเวณดังกล่าว โดยโครงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายผังเมือง และไม่ได้มีการขอปรับผังเมืองแต่อย่างใด
  3. เซ็นทรัลพัฒนาได้ขออนุญาตก่อสร้างในบริเวณพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างถูกต้องเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560 และวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 โดยโครงการมีความปลอดภัยต่อการบิน ไม่ได้ละเมิดกฎใด ๆ ทั้งด้านความสูง และไม่มีกิจกรรมใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานสนามบินหรือรบกวนการบินแต่อย่างใด

หลังจากชี้แจงทั้งสามประเด็น เซ็นทรัลพัฒนาได้ยื่นเข้าฟ้อง ทอท. ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ในฐาน "กระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำละเมิดกรณีบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กับพวก (บริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด) ซึ่งกำลังดำเนินโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ต บริเวณใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ได้รับอนุญาตให้ทำทางเชื่อมในเขตทางหลวงได้เป็นการชั่วคราวจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ทอท. ตั้งเต็นท์ขวางทางเข้าออกโครงการและไม่อนุญาตให้ผู้ใดใช้ทางดังกล่าว เป็นเหตุให้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กับพวก ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย" โดยเรียกค่าเสียหายจาก ทอท. เป็นจำนวนเงิน 150.1 ล้านบาท พร้อมทั้งขออำนาจศาลให้กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยให้ทอท. รื้อถอนสิ่งกีดขวางใด ๆ ออกไปจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370[3] ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562[4] ส่งผลให้เซ็นทรัลพัฒนาสามารถเปิดให้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ ได้ตามปกติในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562[5]

หลังมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีการเรียกประชุมหน่วยงานทั้ง กระทรวงคมนาคม (ในฐานะหน่วยงานใหญ่ของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กรมท่าอากาศยาน และ ท่าอากาศยานไทย) และกระทรวงมหาดไทย (ในฐานะหน่วยงานใหญ่ของ กรมทางหลวง) เพื่อหาข้อยุติข้อพิพาทระหว่าง ทอท. และเซ็นทรัลพัฒนา โดยที่ประชุมมีการสรุปเบื้องต้นว่า ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 เป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบร่วมกันของกรมทางหลวง และกรมท่าอากาศยาน มิใช่พื้นที่ในความรับผิดชอบของ ทอท. เนื่องจากกรมท่าอากาศยานได้จัดซื้อที่ดินส่วนนี้จากประชาชนด้วยงบประมาณในช่วงปี 2511 - 2513 เพื่อใช้ในราชการของกรมท่าอากาศยาน และได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุเป็นจำนวน 26 ทะเบียน รวมเนื้อที่ประมาณ 184-13-26 ไร่ ซึ่งภายหลังกรมท่าอากาศยานได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินส่วนนี้เป็นทางเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้านถนนบางนา-บางวัว และทางพิเศษบูรพาวิถี และให้กรมทางหลวงขึ้นทะเบียนเป็นทางหลวงแผ่นดิน จึงถือได้ว่าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 มีสถานะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน[6]

ต่อมาในการประชุมของคณะทำงานแก้ปัญหาข้อพิพาททางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ถนนเข้าสนามบินสุวรรณภูมิระหว่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้มีข้อสรุปว่าถนนเส้นดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมธนารักษ์ แต่อนุญาตให้กรมทางหลวง และกรมท่าอากาศยานใช้พื้นที่ร่วมกัน คณะทำงานฯ จึงมีมติให้จัดทำหนังสือแจ้งแก่ บริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด รวมถึงเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด 37 ราย ให้เข้ามาทำเรื่องขอเชื่อมต่อถนนใหม่กับกรมธนารักษ์ ซึ่งจะมีการคิดค่าเชื่อมต่อถนนตามอัตราของกรมธนารักษ์ จากเดิมที่กรมทางหลวงให้เชื่อมต่อถนนได้ฟรี ในส่วนคดีความ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนคำสั่งทางปกครองเดิมของศาลปกครองชั้นต้น ส่งผลให้เซ็นทรัลพัฒนาและพวกเป็นผู้ชนะคดี เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ซีพีเอ็นและพวกเพียงขอเปิดใช้ทางเชื่อมระหว่างโครงการกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 เพื่อให้ยานพาหนะสามารถผ่านเข้า - ออก และขอใช้สาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อประกอบกิจการโครงการเท่านั้น ยังไม่มีลักษณะถึงขั้นเป็นการขัดขวางหรือรบกวนการปฏิบัติงานของ ทอท. ฉะนั้นข้ออ้างของ ทอท. ที่ว่าการเปิดทางเชื่อมจะทำให้การจราจรบริเวณหน้าโครงการหนาแน่นขึ้น กระทบต่อการเดินทางของผู้ที่ต้องการใช้บริการท่าอากาศยาน ส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการให้บริการ หรือกระทบต่อแผนพัฒนาท่าอากาศยาน เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ซึ่งไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ และตามที่มีข้อโต้แย้งว่าถนนดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุ เป็นเนื้อหาแห่งคดีที่ศาลต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของคู่กรณีต่อไป

ใกล้เคียง